• คัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพสูง – ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น กากตะกอนจากโรงงานกระดาษ กากตะกอนจากโรงงานผลิตกาแฟ และกากมันสำปะหลัง
• หมักวัตถุดิบ – ควบคุมความชื้น อุณหภูมิ และเติมจุลินทรีย์เพื่อเร่งกระบวนการย่อยสลาย ใช้เวลาหมัก 30-90 วัน
• พลิกกองหมัก – ช่วยเพิ่มการถ่ายเทอากาศ ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และกระตุ้นการทำงานของจุลินทรีย์
• อบแห้งและคัดขนาด – ลดความชื้นให้ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ และปรับขนาดเม็ดปุ๋ยให้เหมาะสม

• วัตถุดิบคุณภาพสูง – ใช้อินทรียวัตถุจากธรรมชาติ เช่น กากตะกอนจากโรงงานกระดาษ กากมันสำปะหลัง และเศษพืช
• กระบวนการหมักที่มีประสิทธิภาพ – ควบคุมอุณหภูมิ 55-65°C และความชื้น 50-60% พร้อมเติมจุลินทรีย์เพื่อเร่งการย่อยสลาย
• การพลิกกองหมัก – เพิ่มออกซิเจน ลดกลิ่น และกระตุ้นการทำงานของจุลินทรีย์
• การอบแห้งและลดความชื้น – ลดความชื้นให้น้อยกว่า 20% เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ
• การคัดขนาดและปรับปรุงเม็ดปุ๋ย – ทำให้เม็ดปุ๋ยแข็งแรง ใช้งานง่าย และให้ธาตุอาหารสม่ำเสมอ
• มาตรฐานและการรับรอง – ผ่านการตรวจสอบจากกรมวิชาการเกษตร มั่นใจในคุณภาพ
• การบรรจุและจัดส่ง – บรรจุในถุงขนาดมาตรฐาน พร้อมส่งให้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม

• วัตถุดิบอินทรีย์ – เช่น กากตะกอนจากโรงงานกระดาษ กากมันสำปะหลัง เศษพืช หรือมูลสัตว์
• พื้นที่ผลิต – มีพื้นที่สำหรับหมักปุ๋ยที่สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นได้ดี
• จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย – เช่น จุลินทรีย์ EM หรือจุลินทรีย์ที่ช่วยเร่งกระบวนการหมัก
• เครื่องมือและอุปกรณ์ – เช่น เครื่องพลิกกองหมัก เครื่องบดและร่อนปุ๋ย ระบบอบแห้ง
• มาตรฐานและใบอนุญาต – ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
• การบรรจุและจัดส่ง – ถุงบรรจุที่เหมาะสมและช่องทางกระจายสินค้าให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย

• เพิ่มไนโตรเจน (N) – ใช้วัตถุดิบที่มีโปรตีนสูง เช่น มูลสัตว์ ปลาป่น กากถั่วเหลือง หรือเศษพืชสด
• เพิ่มฟอสฟอรัส (P) – เติมกระดูกป่น ร็อกฟอสเฟต หรือกากตะกอนจากอุตสาหกรรมอาหาร
• เพิ่มโพแทสเซียม (K) – ใช้ขี้เถ้าแกลบ เปลือกกล้วย หรือกากมันสำปะหลัง
• ควบคุมกระบวนการหมัก – ใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายให้ธาตุอาหารดูดซึมง่ายขึ้น
• เสริมแร่ธาตุธรรมชาติ – เช่น ดินภูเขาไฟ หรือสารปรับปรุงดิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ย

• เติมปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก – เพิ่มอินทรียวัตถุช่วยให้ดินเก็บกักน้ำได้ดีขึ้น
• ใช้วัสดุคลุมดิน – เช่น ฟางข้าว เศษไม้ หรือใบไม้แห้ง เพื่อลดการระเหยของน้ำ
• ปลูกพืชคลุมดิน – เช่น ถั่วเขียว ถั่วพร้า หรือปอเทือง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและโครงสร้างดิน
• ไถพรวนและปรับโครงสร้างดิน – ช่วยให้ดินโปร่ง ลดการไหลซึมของน้ำ
• เติมดินเหนียวหรือสารอุ้มน้ำ – เช่น เบนโทไนต์ หรือไฮโดรเจล เพื่อช่วยกักเก็บน้ำ

• ดินขาดธาตุอาหาร – ควรปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก
• ดินแน่น อุ้มน้ำไม่ดี – ไถพรวน เติมอินทรียวัตถุ หรือใช้พืชคลุมดิน
• สภาพดินเป็นกรด-ด่างผิดปกติ – ตรวจค่า pH แล้วปรับด้วยปูนขาวหรือยิปซัม
• แสงแดดไม่เพียงพอ – พืชต้องการแสงที่เหมาะสมกับชนิดที่ปลูก
• มีศัตรูพืชหรือโรครากเน่า – ตรวจสอบรากและใบ ใช้วิธีป้องกันทางชีวภาพ

1. อินทรียวัตถุ – เช่น เศษพืช มูลสัตว์ กากตะกอนอุตสาหกรรมการเกษตร ช่วยเพิ่มธาตุอาหารและปรับปรุงดิน
2. ธาตุอาหารหลัก (NPK)
   • ไนโตรเจน (N) – ช่วยให้พืชเติบโต แข็งแรง พบในมูลสัตว์และเศษพืช
   • ฟอสฟอรัส (P) – กระตุ้นการแตกรากและออกดอก พบในกระดูกป่นและร็อกฟอสเฟต
   • โพแทสเซียม (K) – เพิ่มความแข็งแรงของพืช พบในขี้เถ้าแกลบและเปลือกกล้วย
3. จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ – เช่น จุลินทรีย์เร่งการย่อยสลาย EM หรือแบคทีเรียตรึงไนโตรเจน
4. แร่ธาตุรองและสารปรับปรุงดิน – เช่น ยิปซัม ดินภูเขาไฟ หรือโดโลไมต์ เพื่อเพิ่มคุณภาพดิน

สรุป: ปุ๋ยอินทรีย์ประกอบด้วยอินทรียวัตถุ ธาตุอาหารหลัก จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ และแร่ธาตุรอง เพื่อช่วยบำรุงดินและส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช